ณ เวลานี้ หากพูดถึงรถยนต์ Supercar ของทางค่าย BMW ก็คงจะหนีไม่พ้นอย่าง BMW i8 ที่ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องหันมองตามอย่างแน่นอน (รวมถึงตัวผมเองก็ด้วย ) ความเป็นผู้ชายอย่างเราเมื่อได้เห็นเป็นต้องถูกใจกันเป็นธรรมดา แต่ว่าความพิเศษของรถยนต์รุ่นนี้ จากที่ผมได้ลองถาม ๆ เพื่อนที่เป็นหญิง ทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวว่า “นี่แหละคือรถยนต์ที่ผู้หญิงก็ใฝ่ฝัน” เช่นเดียวกัน
เดี๋ยวเรามาดูกันเลยว่ารถยนต์อย่าง BMW i8 นั้นจะมีความพิเศษอย่างไร ที่ทำให้แม้กระทั่งผู้หญิงยังตกหลุมรักได้ มาดูไปพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า!!
เดิมทีแล้ว ก่อนที่จะมาเป็น BMW i8 ได้นั้น มันเป็นเพียง Concept ที่ได้มาจากรุ่นรถยนต์รุ่นพี่อย่าง BMW M1 ที่ถูกผลิตออกมาเมื่อปี 1978 ซึ่งเป็นรถเครื่องยนต์วางกลางครั้งแรก จึงกลายมาเป็นไอเดียในการวางแผนและออกแบบ จนกระทั่งปี 2008 ทาง BMW ก็ได้ออกรถยนต์ M1 Homage Concept ซึ่งเป็นเพียงแค่ต้นที่เฉลิมฉลองอายุครบ 30 ปี จากรุ่นแรกที่ต่อยอดมาเท่านั้น ซึ่งหากนำมาเปรียบเทียบกับ BMW i8 ดูแล้ว ก็จะรู้ได้ถึงความเหมือนที่เห็นได้ชัด และไม่ห่างกันมากในปี 2009 ทาง BMW ก็ออกรถยนต์ Concept มาอีกหนึ่งคัน นั่นคือ BMW Vision Efficient Dynamics ที่กล่าวออกมาว่าเป็นรถยนต์แบบ Hybrid และท้ายที่สุดในปี 2011 ก็ได้เปิดตัวเป็น ๆ กับ BMW i8 และวางขายมาจนถึงทุกวันนี้
เรื่องนี้บอกเลยว่าไม่ยาก ใครที่เป็นสายซิ่งน่าจะรู้ ๆ กันอยู่แล้ว แต่ใครที่เพิ่งได้ลองเข้ามาสนใจในวงการนี้แล้ว บอกเลยว่าอย่างแรกที่ต้องมาทำความรู้จักกันก่อนถึงคำศัพท์คำว่า Roadster ว่ามันคืออะไรกันแน่ (แล้วคุณจะหลงรักรถยนต์ประเภทนี้แบบหัวปักหัวปำ)
จริง ๆ Roadster มันคือคำที่เอาไว้เรียกรถยนต์ที่มี 2 ประตู 2 ที่นั่ง อ่ะอ้าววว!! แล้วแบบนั้นมันจะต่างอย่างไรกับรถสปอร์ตแบบ Coupe ที่มี 2 ประตูเหมือนกันล่ะ??
ข้อที่แตกต่างของทั้งรถยนต์ทั้ง 2 ประเภท มีเพียง 2 อย่างเท่านั้น!! ซึ่งจุดแรกนั่นก็คือ หลังคา นั่นเอง!! (งงกันล่ะสิว่าหลังคามันทำไม??) รถยนต์สปอร์ตแบบ Roadster นั่นคือรถที่สามารถเปิดประทุนได้นั่นเอง และอีกจุดหนึ่งที่ทำให้มีความแตกต่างเลยก็คือเรื่องของประตูและจำนวนที่นั่ง รถยนต์แบบ Roadster นั้นจะมีเพียง 2 ประตู 2 ที่นั่งเท่านั้น ส่วนรถยนต์ Coupe จะมี 2 ประตูก็จริง แต่ที่นั่งนั้นอาจจะมีได้ถึง 4 ที่นั่งก็เป็นได้ในรถยนต์บางรุ่น
ซึ่งก็จะมีคำถามตามมาอีกเช่นเดียวกันว่า ทำไม Porsche หรือ Ferrari ที่เป็นเหมือน Roadster ถึงไม่ได้เรียกตัวเองว่า Roadster แต่กลับถูกเรียกว่า Spyder
อยากจะบอกว่าสองอย่างนี้ความแตกต่างเป็นศูนย์เลย เพราะทั้งคู่คือรถประเภทเดียวกัน แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดคำที่ต่างกันออกไป หลาย ๆ ท่านน่าจะพอเดาออกได้ไม่ยากนัก นั่นคือเรื่องของประเทศที่ให้กำเนิดและความพึงพอใจของค่ารถยนต์แต่ละยี่ห้อนั่นเอง
ความสวยงามที่นอกจากดีไซน์หรือการตกแต่งภายในที่ใครเห็นเป็นต้องหลงใหลใน BMW i8 แต่จริง ๆ แล้วมันมีอะไรที่ซ่อนเอาไว้ภายใต้รูปลักษณ์ที่โดดเด่นคันนี้ ด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ อุปกรณ์แปลก ๆ ที่ไม่น่ามีอยู่ในรถ จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย
จากชื่อหัวข้อที่ฟังดูย้อนแย้ง BMW i8 ที่เป็นรถยนต์ Hybrid จะเป็นระบบไฟฟ้า 100% ได้ยังไงกัน แบบนั้นก็ต้องเรียกว่ารถยนต์ EV สิ แต่ความพิเศษของ BMW i8 มันมีมากกว่านั้น เพราะเป็นรถที่สามารถเติมน้ำมันได้ และชาร์จไฟฟ้าเข้ารถยนต์ได้อีกด้วย ซึ่งจะสามารถปรับโหมดการขับให้ใช้งานด้วยไฟฟ้า 100% (โหมด Max eDirve) ได้ในช่วง 30 กิโลเมตรแรก ที่ความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตร (แค่นี้ก็เร็วมาก ๆ แล้ว) และหลังจากนั้นระบบจะเปลี่ยนมาใช้ Hybrid ที่ทำงานร่วมกันกับน้ำมันอัตโนมัติ
ถ้าหากลองไปดูที่ Spec Sheet ของ BMW i8 แล้วจะรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาทันทีว่า “เอ๊ะ!! รถยนต์ที่ถูกขนานนามมาว่าเป็น Supercar ทำไมมีแรงม้าแค่ 374 แรงม้าเท่านั้นเอง ดูไม่น่าจะเร็วเท่าไรเลย” แต่สิ่งที่น่าเหลือเชื่อเลยก็คืออัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนั้น ใช้เวลาแค่ 4.4 วินาทีเท่านั้น!! แต่ที่สามารถทำความเร็วได้ขนาดนี้ ความลับมันอยู่ที่ โครงสร้างของ bmw i8 ทำมาจาก Carbon Fiber ทั้งคัน ทำให้มีน้ำหนักเบาอย่างน่าเหลือเชื่อ (น้ำหนักรวมแค่ 1 ตันครึ่งเท่านั้น)
เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกของโลกเลยก็ว่าได้ ที่มีการนำเอาเทคโนโลยี 3D Print มาใช้กับอุตสาหกรรมรถยนต์ โดย BMW i8 นั้นเอามาใช้ทำชุดยกหลังคาสำหรับเปิดประทุนในบางชิ้นส่วน เพื่อเป็นการลดน้ำหนักของตัวรถให้ได้มากที่สุด
โดยปกติแล้วรถยนต์ที่เป็น Hybrid จะมีเสียงเครื่องยนต์ที่เงียบมาก ๆ หรือไม่มีเสียงเลยเสียด้วยซ้ำ แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจสำหรับ BMW i8 ที่เมื่อขับขี่ กลับมีเสียงของเครื่องยนต์ที่ดังเหมือนรถ Supercar ทั่ว ๆ ไปเลยทีเดียว นั่นเป็นเพราะว่าทาง BMW ได้เสริมฟังก์ชันหนึ่งซ่อนเอาไว้ที่บริเวณท้ายรถ นั่นก็คือ ลำโพงขนาดใหญ่ที่ไม่ใช่สำหรับเอาไว้เปิดเล่นเพลงให้คนข้างนอกได้ฟังแต่อย่างใด แต่เป็นเสียงเครื่องยนต์แบบสังเคราะห์ที่ทำให้ผู้ขับขี่และคนอื่น ๆ บนท้องถนนรู้สึกว่า BMW i8 ไม่ได้เป็นรถยนต์ไฟฟ้านั่นเอง
จากที่พูดมาทั้งหมดในบทความ ก็แสดงให้เห็นถึงความดีงามพระราม 8 ของ BMW i8 เป็นเรียบร้อย ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นรถยนต์ Supercar แห่งอนาคตกันเลยทีเดียว ที่นอกจากความเร็วแรงของตัวเครื่องยนต์แล้ว ยังมีดีไซน์รูปลักษณ์ที่เท่ครองใจทั้งชายและหญิงได้อย่างอยู่หมัด
กลับสู่หน้าแรก